วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2559

ความสาหัสของเด็ก นิติ ปี 3

ว่าด้วยเรื่องของเด็กนิติฯ ปี 3...

จะว่าก็ว่าอ่ะโน้ะ ว่าไอ้เด็กนิติตอนชั้น ปี 3 เนี่ยแหละเป็นช่วงที่มรสุมชีวิตมากสุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียนตัวกฎหมายที่เป็นตัวพ่อตัวแม่ทั้งหลายที่ทั้งยาก เยอะ และไม่ธรรมดา นอกจากเนื้อวิชาเรียนจะไม่ธรรมดาแล้ว ความยากของเด็กนิติก็ถูกซัดทวีคูณเพิ่มขึ้นไปอีกด้วยการเจอกับคณาอาจารย์ที่เป็นทั้งตัวพ่อและตัวแม่ พูดก็พูดเถอะ ขึ้นปี 3 แล้วมีใครไม่รู้จัก อ.จักรพงษ์ บางล่ะ... บอกเลย ไม่มี๊!

ไอ้เราก็เด็กธรรมดาๆคนนึงเนี่ยแหละ ไม่ได้สมองปราดเปรื่องเป็นพวกเทพอะไรขนาดนั้น เอาเป็นว่าอยู่ในเกณฑ์ดีอ่ะนะ แต่ก็ต้องอาศัยความขยัน ความพยายาม ความมีวินัยเข้าช่วยล่ะ ยิ่งมาเจอตัวพ่อด้วยแล้ว ก็ต้องขยันมากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่าพันเท่า

อ่ะๆ เรื่องเรียนที่ว่ามากแล้วก็ยังไม่พอ เด็กที่พอทำกิจกรรมบ้างอย่างเราก็พ่วงมาด้วยหน้าที่ที่ต้องแบกไว้บนหลัง! ไม่ว่าจะเป็นงานรับน้องโต๊ะเอย งานค่ายเอย งานกิจกรรมเล็กๆน้อยๆเอย ก็ต้องผ่านไปให้ได้และต้องจัดสรรเวลาอ่านหนังสือให้ดี

ยังไม่หมดนะ! สำหรับความหินของการเป็นเด็กปี 3 เข้าแล้ว ก็บอกได้เลยว่าพออยู่ปีสามแล้วเนี่ย มันเริ่มเป็นปีที่เริ่มคิดหนักเกี่ยวกับชีวิตจริงแล้วล่ะ เพราะอีกปีสองปีก็เรียนจบแล้วใช่มั้ยล่ะ ชีวิตจริงมันน่ากลัวซะเหลือเกิน เห้อ...

อย่างที่บอกว่าเราชาวเด็กนิติปีสามเนี่ยเริ่มใกล้ชีวิตทำงานจริงเข้ามามากแล้ว เพราะฉะนั้น... ตอนช่วงปิดเทอมใหญ่ปีสามขึ้นปีสี่เนี่ย เด็กหลายๆคณะเค้าก็จะเริ่มขวนขวายไปหาที่ฝึกงานกัน เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมเข้าสู่สนามรบที่เรียกว่าชีวิตจริงนั่นล่ะ ส่วนรายละเอียดเนี่ยก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าคณะไหนบังคับต้องฝึก หรือคณะไหนไม่บังคับ ฝึกก็ได้ไม่ฝึกก็ได้อะไรยังไง

แต่ก็จะบอกว่า สำหรับ นิติ มธ. เนี่ย ก็ไม่ได้บังคับฝึกงานหรอกค่ะ เด็กที่ไม่ได้ฝึกงานก็มีถมเถไป แต่ก็นะ ประสบการณ์เนี่ย มันก็หาไม่ได้จากที่ไหน ถ้าไม่ขวนขวายกัน ก็นิ่งอยู่กับที่นั่นแหละ

เราก็เลยเป็นนักศึกษาตัวน้อยๆ อีกหนึ่งคนที่ขวนขวายหาที่ฝึกงานมากกกก

สำหรับที่ฝึกงานที่ต่างๆที่เด็กนิติไปหาฝึกงานกันก็หลากหลายมากค่ะ ใครชอบสายราชการหน่อยก็อาจจะไปอยู่ตามสำนักงานอัยการ ศาล หรือสำนักงานราชการอื่นๆ แต่บอกเลยว่านี่เป็นคนที่ไม่ชอบสายราชการเลย ก็จะมีอีกสายงานนึงที่การแข่งขันสูงมว้ากกกก นั่นก็คือ... Law Firm นั่นเองค่ะ

Law Firm เนี่ยนะ มันก็เป็นบริษัทที่ปรึกษากฎหมายค่ะ ซึ่งลูกค้าของ Law Firm ก็จะเป็นแนวพวกบริษัท ธนาคารต่างๆ ว่ากันไป

แล้วทำไม Law firm ถึงการแข่งขันเข้าแย่งชิงสูง นั่นก็เพราะว่า law firm นั้นเงินเดือนดีมากกกค่ะ! แต่เงินเดือนที่ว่าดีๆ เนี่ยก็ต้องแลกกับการทำงานเยี่ยงทาสนะ (ก็ไม่เว่อร์ขนาดนั้นหรอก เอาเป็นว่าทำงานหนักอ่ะ) ก็ทำงานหนักจริง อย่างเช่นเลิกงานตี 2 ตี 3 งี้ก็มี นอนอยู่บริษัทไม่กลับบ้านกลับช่องก็มี

ฉะนั้น เด็กนิติหลายต่อหลายคนก็ตั้งหน้าตั้งหน้าอยากเข้ามาฝึกงานใน law firm ยิ่งนัก

แล้วเด็กนิติเนี่ย มันก็ไม่ใช่แค่เด็กธรรมศาสตร์ไงค่ะ... ทั้งเด็กจุฬาเอย เด็กรามเอย จากหลายๆสถาบันที่มีคุณก็ขวนขวายอยากเข้ามาหาประสบการณ์กันทั้งนั้น

อย่างที่บอกนะ ว่าการแข่งขันสำหรับการจะเข้าฝึกงานเนี่ยสูงมาก

ฉะนั้น law firm เหล่านี้ จึงมีกระบวนการคัดเลือกขึ้นมา สำหรับนิสิต/นักศึกษา ทั้งหลาย เพื่อเฟ้นหานักศึกษาฝึกงานที่มีคุณภาพทั้งหลาย ที่อาจจะกลายเป็นที่ปรึกษากฎหมายภายในบริษัทนั้นก็ได้อ่ะ

ขั้นตอนการเฟ้นหาเนี่ย มันก็เริ่มมาจาก เปิดรับสมัคร ให้ส่งใบสมัครพร้อมใบคะแนนเฉลี่ย และใบประวัติของเรา

โจทย์ยากๆข้อแรกที่เด็กปีสามต้องเจอก็คือ เขียน resume ยังไงให้น่าสนใจ?!

โห... เล่นเอาเป็นเรื่องที่กลุ้มใจสำหรับมือใหม่ไม่ชำนาญสังเวียนมากๆ อ่ะ เพราะไม่รู้ว่าควรเขียนยังไงถึงจะดี เขียนให้มากหรือเขียนลักษณะยังไงถึงจะเรียกว่าดี

ก็บอกไว้ก่อนเลย ว่าหลักๆ สำหรับ resume ที่เค้าจะดูกันเนี่ย ก็มีอยู่ 2 ส่วนใหญ่ๆแหละ อย่างแรกก็คือ เกรดหรือคะแนนเฉลี่ย และอย่างที่สอง กิจกรรม

ไอ้สองอย่างนี้เนี่ยแหละมีความสำคัญมาก สำหรับคนที่เค้าจะพิจารณาเด็กนิสิตนักศึกษาคนหนึ่งที่เค้าไม่ได้รู้จักหน้าคร่าตา ว่าจะทำยังไงให้เขาสนใจให้ได้!

จริงๆอย่างที่สำคัญเป็นอันดับแรกก็คือคะแนนเฉลี่ยหรือเกรดเฉลี่ยนะ เพราะเกรดมันก็วัดอะไรได้หลายอย่างแหละ มันก็ทำให้เห็นถึงความตั้งใจ ความมุมานะของเราในการเรียนมากน้อยแค่ไหน ใครก็อยากได้คนเก่ง ใช่มั้ยล่ะ?

อันดับที่สอง กิจกรรม

นอกจากเค้าจะดูว่าเราตั้งใจพากเพียรเรียนศึกษามากแค่ไหนแล้วเนี่ย เค้าก็จะดูว่าเรามีมนุษยสัมพันธ์ทางสังคมบ้างมั้ย ทำงานเป็นป่าว เข้ากันคนอื่นได้มากน้อยแค่ไหน โดยดูจากกิจกรรมที่เราทำนั่นแหละ

ส่วนกิจกรรมมันก็หลากหลายกันไป คนที่ทำพวก Moot Court หรืออะไรเกี่ยวกับเชิงวิชาการและมีภาษาอังกฤษด้วยเนี่ย ก็จะได้รับความสนใจเป็นอย่างมากทีเดียว เพราะมันถือว่าคุณมีความสามารถ!

ส่วนกิจกรรมอื่นๆ ก็จะได้รับการพิจารณาไล่ๆระดับลงไปล่ะ ส่วนใครที่ทำกิจกรรมที่มันไม่เกี่ยวกับเชิงวิชาการเลยยย หรือแทบจะไม่แบบนั้นน่ะนะ ก็ต้องอาศัยเกรดหรือคะแนนเข้าสู้แล้วล่ะ แต่ถ้าคุณยังมีคะแนนหรือเกรดไม่น่าดึงดูดอีกล่ะก็ เห็นทีจะได้รับความสนใจน้อยหน่อย ก็ว่ากันตรงๆนะ

จริงๆ วันนี้แค่อยากจะมาบ่นเรื่องเด็กนิติปีสามเนี่ยแหละ ว่ามันหนักหนาสาหัสและมีเรื่องหนักใจมากแค่ไหน แต่เผลอลงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องฝึกงานไปซะเยอะ จริงๆ ไอ้เราก็เป็นอีกคนที่ตอนนี้ยังไม่มีที่ฝึกงาน! ก็เพราะว่ายังเตรียมตัวไปไม่มากพอ สำหรับพรุ่งนี้ก็ต้องไปสัมภาษณ์ฝึกงานอีกที่นึง (ลืมบอกไปว่าพอส่งใบสมัครแล้วจะมีการคัดคนเข้ามาสัมภาษณ์ฝึกงาน ส่วนความแตกต่างของแต่ละบริษัทก็อยู่บ้าง เช่นบางบริษัทมีการทดสอบข้อเขียนต่างๆ ไว้จะมาเล่าให้ฟังใหม่)

วันนี้ขอจบแบบครึ่งๆกลางๆ เพราะต้องไปเตรียมพร้อมไปสัมภาษณ์แล้วล่ะ ไว้เจอกันใหม่ ลา.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น